“บางครั้งการทำบุญไม่จำเป็นต้องทำกับวัดเสมอไป การสร้างสวนให้คนในชุมชนได้มาใช้เวลาด้วยกัน ทั้งคนแก่ที่มากับหลาน ๆ หรือพ่อแม่ที่จูงตายายมาเดินเล่น น้าว่านี่ก็เป็นการทำบุญนะ และสวนแบบนี้คือภาพที่น้าอยากเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ น้าเลยทำเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของน้า”
— ณัฏฐ์รมณ อยู่เย็น (น้าปุ๊ก) เจ้าของสวนแก้วคำเอ้ย

สวนแก้วคำเอ้ยเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของแนวคิด พื้นที่เอกชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ (Privately Owned Public Space) ซึ่งสะท้อนความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการพัฒนาเมืองเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยปกติแล้ว แนวคิดนี้มักเกิดขึ้นจากแรงจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษี การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือการเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่อาคารต่อพื้นที่ดิน แต่สำหรับสวนแก้วคำเอ้ย แรงจูงใจเริ่มต้นกลับมาจากความเชื่อ ความหวังดี และความปรารถนาในการแบ่งปัน
บนพื้นที่กว่า 12 ไร่ ในเขตเทศบาลตำบลสันทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีประชากรกว่า 15,000 ครัวเรือน สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ติดลำน้ำโจ้ และกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญของโครงการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำโจ้ให้เป็นพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อกันยาวกว่า 8 กิโลเมตร โดยครอบคลุมสวนสาธารณะ 8 แห่ง โครงการนี้ตั้งเป้าหมายให้ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งสามารถเดินเท้าถึงพื้นที่สาธารณะภายในเวลา 15 นาที




คุณค่าและผลกระทบของพื้นที่สีเขียว
การพัฒนาพื้นที่เช่นนี้ไม่เพียงสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในหลายมิติ:
- สุขภาพกายและใจ: เมืองที่มีเส้นทางสีเขียวจะช่วยลดความเครียด ส่งเสริมกิจกรรมการเดินและปั่นจักรยาน เพิ่มโอกาสให้ผู้คนออกกำลังกาย
- การเชื่อมโยงทางสังคม: สวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวสร้างโอกาสในการพบปะและสานสัมพันธ์ระหว่างชุมชน
- เศรษฐกิจในท้องถิ่น: การพัฒนาพื้นที่คุณภาพสูงช่วยดึงดูดผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มภาพลักษณ์ของพื้นที่
สวนแก้วคำเอ้ยจึงไม่เพียงเป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อน แต่ยังเป็นตัวอย่างของความสอดคล้องระหว่างนโยบายเมืองและการพัฒนาพื้นที่เอกชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ หากแนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทย อาจนำไปสู่การพัฒนาเมืองที่ผู้คนมีความสุข พร้อมกับสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้ในเวลาเดียวกัน